สตาลินกับการสร้างระบอบเผด็จการในสหภาพโซเวียต
1. ชีวประวัติโดยย่อ
โจเซฟ สตาลิน
(รัสเซีย: Иосиф
Виссарионович
Сталин
; อังกฤษ: Joseph Stalin) (21 ธันวาคม ค.ศ.
1879 – 5 มีนาคม ค.ศ. 1953) เดิมมีชื่อว่า “ซูซี่” แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “สตาลิน”
เมื่อทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ เขาเป็นชาวจอร์เจีย และได้เป็นผู้นำคนสำคัญของสหภาพโซเวียต
ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953
และดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1922-1953) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
2. การสร้างระบอบเผด็จการในสหภาพโซเวียต
หลังจากเลนินถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ
ค.ศ. 1924
ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตระหว่าง เลออน
ทรอตสกี้ (Trotsky) กับโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) โดยประเด็นสำคัญในการต่อสู้กันนั้นเกี่ยวข้องกับทิศทางการสร้างระบอบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียต
ตรอตสกีเสนอแนวคิดเรื่องการปฏิวัติถาวร (permanent revolution) โดยมองว่าภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือ การส่งออกการปฏิวัติไปยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาพันธมิตรจากชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลก
หาไม่แล้ว ระบอบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียต จะถูกโดดเดี่ยวและพังทลายลง ตรงข้ามกับสตาลิน
ที่เสนอแนวคิดเรื่องลัทธิสังคมนิยมในประเทศเดียว (socialism in one
country) โดยมองว่าภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการทหารเพื่อความอยู่รอดของสหภาพโซเวียต
จากนั้นจึงส่งออกการปฏิวัติเป็นลำดับถัดไป ในที่สุดเมื่อถึง ค.ศ. 1927 สตาลินก็มีชัยชนะเหนือตรอตสกีผู้ถูกขับออกจากพรรคและเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศจนกระทั่งถูกสังหารที่เม็กซิโกเมื่อ
ค.ศ. 1940 โดยฝีมือของชาวสเปนที่รับคำสั่งจากสตาลิน
สตาลินให้ความสำคัญกับการวางแผนเศรษฐกิจระยะยาว
โดยจัดตั้งคณะกรรมาธิการวางแผนแห่งรัฐ (Gosplan) ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1927 และประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5
ปีฉบับที่หนึ่ง (ค.ศ. 1928-1932) โดยในด้านเกษตรกรรม
เขายกเลิกนโยบายของเลนินที่อนุญาตให้ชาวนานำผลผลิตส่วนเกินไปขายในตลาดได้เนื่องจากเห็นว่าเปิดช่องให้เกิดชาวนารวย
(rich peasant) ที่กักตุนธัญพืชเพื่อเก็งกำไร เขาเปลี่ยนมาใช้ระบบนารวม
(collective farm) และนารัฐ (state farm) นารวมคือการให้ชาวนานำที่นาและปัจจัยการผลิตมารวมกันภายใต้การจัดการของคณะกรรมการ
โดยดำเนินการผลิตตามแผนที่รัฐกำหนด ส่วนนารัฐคือที่นาซึ่งรัฐเป็นเจ้าของและจ้างชาวนามาทำงาน
ผลปรากฏว่ามีชาวนารวยหลายแสนครัวเรือนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยกักตุนอาหารและเครื่องมือการทำนา
รวมถึงฆ่าสัตว์เลี้ยง ทำให้สตาลินต้องใช้มาตรการรุนแรง ทั้งจับกุมมาดำเนินคดี ประหารชีวิต
และเนรเทศไปอยู่ค่ายกักกันในดินแดนที่ห่างไกล และเมื่อถึง ค.ศ. 1938 ก็มีนารวม 242,400 แห่ง และนารัฐ 4,000 แห่งเกิดขึ้นทั่วประเทศ
ในด้านอุตสาหกรรม
สตาลินเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรโดยระดมทุนด้วยการขายพันธบัตรอายุ 10
ปีมูลค่า 200 ล้านรูเบิล โรงงานใหม่ ๆ กว่า 4,000
แห่งผุดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1928 1929 และสัดส่วนสินค้าอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตต่อสินค้าอุตสาหกรรมทั่วโลกเพิ่มจากร้อยละ
1.5 ใน ค.ศ. 1921 เป็นร้อยละ 10
ใน ค.ศ. 1939 นอกจากนี้ยังพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรด้านต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุข สวัสดิการ และการศึกษา โดยอัตราการรู้หนังสือของประชากรเพิ่มขึ้นจากร้อยละ
56.6 ใน ค.ศ. 1926 เป็นร้อยละ 87.4
ใน ค.ศ. 1939 หรือกล่าวได้ว่าในทศวรรษเดียวสตาลินได้เปลี่ยนโฉมสหภาพโซเวียต
ให้เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน
(centrally-planned economy) ของเขายังกลายเป็นแม่แบบให้กับประเทศสังคมนิยมอื่น
ๆ
รวมทั้งประเทศนอกค่ายสังคมนิยมที่รับเอาแนวคิดบางส่วนของลัทธิดังกล่าวไปใช้จัดการระบบเศรษฐกิจ
เช่น อินเดีย อียิปต์เป็นต้น
การพัฒนาเศรษฐกิจของสตาลินดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงภายในประเทศและการกระชับอำนาจเผด็จการของเขา
การเติบโตของลัทธินาซีในเยอรมนีและลัทธิทหารในญี่ปุ่นตลอดทศวรรษ 1930
ทำให้สตาลินมุ่งกำจัดผู้ที่อาจเป็นไส้ศึกให้กับต่างชาติและบ่อนทำลายสหภาพโซเวียต
ในช่วง ค.ศ.1937-1938 คณะกรรมาธิการกิจการภายในของประชาชน (People's
Commissariat for Internal Affairs หรือเรียกย่อ ๆ ในภาษารัสเซียว่า
NKVD) จึงจับกุมผู้คนกว่า 1.6 ล้านคนมาดำเนินคดีจนกลายเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่าความสะพรึงกลัวครั้งใหญ่
(Great Terror) มีผู้ถูกตัดสินความผิดถึง 1.3 ล้านคนในจำนวนนี้ถูกประหารชีวิตไป 682,000 คน โดยมีตั้งแต่ผู้นำระดับสูงในพรรค
กองทัพ รัฐบาล ไปจนถึงประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ สตาลินยังสร้างลัทธิบูชาผู้นำ (cult
of personality) เริ่มจากงานฉลองวันเกิดครบรอบ 50 ปีของ เขาเมื่อ ค.ศ. 1929 แล้วตามด้วยการใช้กลไกโฆษณาการและระบบการศึกษาตลอดทศวรรษ
1930 เพื่อฉายภาพว่าเขาปราดเปรื่องทั้งในทางทฤษฎีและการบริหาร
และมีสถานะเป็น“ ซาร์พระบิดา (tsar batyushka)” หรือพ่อ
ของแผ่นดิน
เอกสารอ้างอิง
สิทธิพล เครือรัฐติกาล.
(2020). ประวัติศาสตรโลกสมัยใหม่. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อนันตชัย เลาหะพันธุ และสัญชัย
สุวังบุตร. (2014). รัสเซียสมัยซาร์และสังคมนิยม. (พิมพ์ครั้งที่ 1). นนทบุรี : สำนักพิมพ์ศรีปัญญา.